วิเคราะห์ข่าวส่งเมียโหดตรวจสภาพจิตฆ่า-หั่นผัว |
Tuesday, 09 October 2012 | |
ตำรวจ คุมตัวเมียคลั่งยาบ้า ฆ่าหั่นศพผัวอดีตดีไซเนอร์ป่วยเป็นอัมพาต ชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ห้องพักย่านบางกอกน้อย สารภาพใช้ไขควงแทงหัวและหลัง ลากศพมาหั่นอำพรางคดี อ้างเทพเข้าสิงบอกสามีมีทุกข์จึงต้องฆ่า ส่วนคนข้างห้องผวาแจ้งย้ายออก ตำรวจเตรียมส่งผู้ต้องหาตรวจอาการทางจิต ด้านอธิบดีกรมสุขภาพจิต เผยหากป่วยทางจิตต้องรักษาในฐานะผู้ป่วยคดี แต่เกิดจากฤทธิ์ยาเสพติดจนหูแว่ว ประสาทหลอน หยุดเสพก็จะรู้สึกตัวต้องกลับไปรับโทษ จุดแรกภายในห้องพัก 714 เป็นห้องหัวมุมติดกับบันไดหนีไฟ ลักษณะเป็นห้องชุด มีห้องนอน 2 ห้องและห้องรับแขก พบสุนัข 2 ตัววิ่งเล่นซุกซนอยู่ในห้อง ตำรวจนำตัว น.ส.พรสุรีย์ ชี้จุดที่ห้องนอน บนเตียงที่สามีนอนป่วยอยู่ แสดงท่าใช้ไขควงแทงที่หน้าผากและหลัง แล้วลากศพมาห้องรับแขกเป็นจุดที่ชำแหละ ก่อนนำชิ้นส่วนยัดใส่กระเป๋าเดินทางมาวางไว้หน้าห้อง จากนั้นนำผู้ต้องหาไปชี้จุดที่ทิ้งศีรษะลงในคลองบางกอกน้อย อยู่ชั้นล่างด้านหลังอพาร์ตเมนต์ ขณะนั้น น.ส.พรสุรีย์มีอาการหน้ามืดนั่งทรุดตัวลงกับพื้น เมื่อเห็นผู้ต้องหาเดินไม่ไหวจึงยกเลิกการทำแผน คุมตัวกลับไปที่ สน.บางขุนนนท์ ส่วนบรรยากาศผู้พักอาศัยภายในอพาร์ตเมนต์ดังกล่าวที่อยู่ชั้น 7 ออกมายืนดูด้วยความสนใจ นอกจากนี้ยังมีผู้พักอาศัยในชั้นเกิดเหตุเริ่มแจ้งย้ายออกบ้างแล้ว เพราะเกิดความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.ต.ต.ปริญญากล่าว ว่า ผู้ต้องหารับสารภาพ จึงนำตัวมาทำแผนชี้จุดเกิดเหตุ ขณะนั้นผู้ต้องหาหน้ามืดเป็นลม อาจเป็นเพราะยาเสพติดหมดฤทธิ์ ร่างกายอ่อนเพลีย จึงต้องยกเลิกการทำแผนจุดอื่นไปก่อน ผู้ต้องหาก่อเหตุขณะผู้ตายหลับเวลา 02.00 น. ของวันที่ 6 ต.ค. ใช้ไขควงแทงที่หน้าผากและหลังของผู้ตาย ใช้มีดทำครัวตัดแยกชิ้นส่วนศพใส่กระเป๋าเดินทางและถุงพลาสติกแบบมีซิป ผู้ต้องหาให้การถูกต้องตรงตามสภาพรอยบาดแผลของศพ ชิ้นส่วนมือและเท้ายังหาไม่เจอ อ้างว่าใส่ในถุงพลาสติกโยนทิ้งลงน้ำ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อเพราะตรวจสอบกล้องวงจรปิดไม่พบว่าผู้ตายเดิน ถือถุงออกมา จากนี้จะส่งตัวผู้ต้องหาไปยังสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เพื่อตรวจสอบว่าสภาพจิตผิดปกติหรือไม่ นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ส่งตัวผู้ต้องหามาที่โรงพยาบาลในสังกัดของกรม สุขภาพจิต เพื่อตรวจสอบอาการทางจิต ซึ่งตามกฎหมายแล้วการก่อเหตุภายใต้ฤทธิ์ยาเสพติดจะมีฐานความผิดต่างจากผู้ ต้องหาที่ก่อเหตุด้วยการเจ็บป่วยทางจิต ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาในฐานะผู้ป่วยคดี ส่วนผู้ต้องหาที่ก่อเหตุภายใต้ฤทธิ์ยาเสพติด เมื่อหยุดยาเสพติดประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มมีอาการถอนฤทธิ์ยาและรู้สึกตัว จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะส่งตัวกลับไปดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับการใช้ยาเสพติดจะก่อให้เกิดอาการหูแว่ว ประสาทหลอน ทำให้สามารถก่อเหตุทำร้ายผู้อื่นหรือตัวเอง แต่เมื่อหยุดเสพยาจะเริ่มรู้สึกตัว ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตทั่วไป สาเหตุการเกิดโรคจะมาจากหลายปัจจัย ดังนั้นจะต้องสังเกตอาการเบื้องต้นของผู้ก่อเหตุก่อน หากไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเจ็บป่วยหรือก่อเหตุเพราะฤทธิ์ยา ก็จะต้องมีการส่งตัวให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์อาการต่อไป ไทยรัฐออนไลน์
จากการวิเคราะห์ข่าวเบื้องต้น จะเห็นได้ว่าการกระทำของผู้ต้องหา เป็นพฤติกรรมของผู้มีอาการป่วยทางจิต
(psychosis) ชัดเจน ตั้งแต่การแต่งหน้าเข้ม
การสวมเครื่องประดับที่เกินคนปกติทั่วไป
การพูดจาที่วกวนและพร่ำเพ้ออ้างตนเองเป็นเทพเจ้า และผู้ตายเป็นปีศาจ
จนถึงการฆาตกรรมที่โหดเหี้ยม
ซึ่งจากประวัติเบื้องต้นและการตรวจปัสสาวะ พบว่า มีการเสพ
สารกระตุ้นซึ่งน่าจะเป็นสารกลุ่มแอมเฟตามีน (amphetamine type stimulant
หรือเรียกย่อๆว่า ATS) ซึ่งมักเป็นยาบ้า หรือ ไอซ์
หากเสพในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดอาการทางจิต (amphetamine intoxication)
หรือการเสพต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน (amphetamine
induce psychosis)
นพ.อังกูร ภัทรากร จิตแพทย์ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี |
|
แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( Wednesday, 24 October 2012 ) |
< ก่อนหน้า |
---|