หน้าแรก เกี่ยวกับสถาบัน บริการบำบัดรักษายาเสพติด ติดต่อเรา

สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.)


ประวัติความเป็นมา พิมพ์
Friday, 27 August 2004

ประวัติสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี (สบยช.)


ยาเสพติดไม่ใช่เป็นปัญหาเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นปัญหาของทุกประเทศในโลก เพราะอันตรายร้ายแรงมิใช่จะเกิดมีแต่เฉพาะผู้ติดยาเสพติดเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยอันตรายอย่างใหญ่ยิ่งต่อความสงบสุขของสังคม และความมั่นคงของประเทศชาติอีกด้วย องค์การสหประชาชาติตระหนักถึงอันตรายดังกล่าว ทุกประเทศในเครือสมาชิก จึงมีข้อตกลงในการดำเนินการป้องกันปราบปรามและให้การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพ ติดในแต่ละประเทศให้ได้ผล สำหรับประเทศไทยได้มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 37 ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ห้ามการขายฝิ่นและสูบฝิ่นโดยเด็ดขาด ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ผลอันเกิดจากประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 37 ได้มีคำสั่งให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุข จัดตั้งสถานพยาบาล และสถานพักฟื้น ให้การรักษาแก่ผู้ติดฝิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่คลอง 5 ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี มีชื่อว่า “สถานสงเคราะห์คนติดฝิ่น ของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข” (The Government Opium Treatment Centre) เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2502 การดำเนินงานระยะเริ่มแรกโดย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มีหน้าที่รับผิดชอบให้การรักษาผู้ติดฝิ่นขั้นถอนยา รับผู้ป่วยได้ 1,000 คน ส่วนกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่รักษาขั้นฟื้นฟู รับผู้ป่วยได้ 3,000 คน

เนื่องจากการปฏิบัติงานโดยแบ่งความรับผิดชอบออกเป็น 2 ฝ่ายนั้น ทำให้การดำเนินงานบำบัดรักษาไม่ได้ผลดี การบังคับบัญชารับผิดชอบงาน ควรจะขึ้นอยู่กับหน่วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่ฝ่ายเดียว กรมการแพทย์จึงได้โอนกิจการความรับผิดชอบการรักษาขั้นถอนพิษยา ให้แก่กรมประชาสงเคราะห์ รับไปดำเนินงานแต่ฝ่ายเดียว เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2503 และกรมการแพทย์ ได้มอบหมายให้นายแพทย์ประยูร นรการผดุง ไปเป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการ

ต่อมากรมประชาสงเคราะห์ ได้พิจารณาเห็นว่าการรักษาขั้นถอนยาของสถานพยาบาล เป็นการบำบัดรักษาที่ต้องใช้เทคนิคทางการแพทย์ กรมประชาสงเคราะห์จึงได้มอบการรักษาขั้นถอนพิษยาของสถานพยาบาลให้กรมการ แพทย์ดำเนินการรับผิดชอบพร้อมงบประมาณ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2505 โดยตั้งชื่อสถานพยาบาลนี้ว่า “โรงพยาบาลยาเสพติด” และเพื่อให้ถูกต้องตามหลักวิชาการอันได้ผลตามที่ต่างประเทศปฏิบัติกัน กรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทย จึงได้โอนการดำเนินงาน การบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดขั้นฟื้นฟู มาอยู่ในความรับผิดชอบของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข แต่ฝ่ายเดียว เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2507

คณะกรรมการกลางปราบปรามยาเสพติดให้โทษ (ก.ป.ส.) ซึ่งได้มีการแต่งตั้งขึ้น ในปี พ.ศ. 2504 มิได้มีหน้าที่ เพียงด้านการปราบปรามยาเสพติดแต่เพียงอย่างเดียว ยังให้การสนับสนุนงาน ด้านป้องกัน และบำบัดรักษาด้วย ได้ขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี และมีมติเห็นชอบ ในการจัดสร้างโรงพยาบาลยาเสพติด ในปี พ.ศ. 2505 แต่กรมการแพทย์ไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณ และล่าช้ามาถึง 3 ปี ในปี พ.ศ. 2507 คณะกรรมการกลางปราบปรามยาเสพติดให้โทษ (ก.ป.ส.) โดย พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงค์ เป็นประธาน ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีในการก่อสร้างโรงพยาบาลยาเสพติด ในวงเงิน 39,600,000 บาท ก่อสร้างแล้วเสร็จในเวลา 18 เดือน การก่อสร้างตัวอาคารเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งถือว่า เป็นสถานพยาบาลยาเสพติดถาวรสำหรับภาคกลางเป็นแห่งแรก และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด

กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พิจารณา เห็นว่าหากใช้ชื่อโรงพยาบาลนี้ว่าโรงพยาบาลยาเสพติด จึงไม่เป็นการเหมาะสมเพราะทำลายจิตใจผู้ติดยาเสพติดที่เข้ามารับการบำบัด รักษา จึงได้ขอพระราชทานนามโรงพยาบาล จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามโรงพยาบาลนี้ว่า “ธัญญารักษ์” เมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2509 และได้ถือว่าเป็นวันสถาปนาของธัญญารักษ์ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

พ.ศ. 2509-2518


โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ได้เปิดดำเนินการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2510 เป็นต้นมา โดยมีนายแพทย์ประยูร นรการผดุง เป็นผู้อำนวยการท่านแรก และได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิธีการที่นานาประเทศปฏิบัติกันอยู่ ว่าควรดำเนินการในรูปใดจึงจะสัมฤทธิ์ผลและเป็นที่ยอมรับ ได้มีการพัฒนารูปแบบการบำบัด ตามลำดับ ดังนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2510–2513 การบำบัดรักษายาเสพติดได้แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. ขั้นถอนพิษยา ใช้ระยะเวลา 7 วัน โดยให้บริการแบบผู้ป่วยในอย่างเดียว
2. ขั้นฟื้นฟูสมรรถภาพจิตใจ
3. ขั้นติดตามผล
ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 เปลี่ยนการบำบัดรักษายาเสพติดจาก 3 ขั้นตอนเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. ขั้นเตรียมการก่อนรักษา
2. ขั้นถอนพิษยา
3. ขั้นฟื้นฟูสมรรถภาพ
4. ขั้นติดตามหลังรักษา

พ.ศ. 2519-2528


พ.ศ. 2520 ได้เปิดบริการคลินิกถอนพิษยานอกโดยให้ผู้ป่วยที่ติดเฮโรอีนรับการรักษาแบบไป – กลับ รับประทานยาวันละ 1 ครั้ง นาน 21 วัน ส่วนผู้ป่วยที่ติดยาเสพติดชนิดอื่น ให้ซื้อยาไปรับประทานที่บ้านได้โดยใช้สถานที่ทำการที่ตึกอำนวยการ
พ.ศ. 2523 ได้เปิดบริการรับผู้ป่วยยาเสพติดหญิง 1 ตึก จำนวน 50 เตียง
พ.ศ. 2524 สร้างโรงงานอาชีวบำบัดใหม่ เพื่อให้บริการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยด้วยวิธีฝึกทักษะอาชีพต่างๆ
ในปี พ.ศ 2528 ได้พัฒนาการฟื้นฟูสมรรถภาพในรูปแบบชุมชนบำบัด โดยเริ่มดำเนินการในโครงการสนับสนุนของ UNDAF โดยความร่วมมือจากมูลนิธิยูเนสเวด ประเทศสวีเดน ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ไปศึกษาดูงานการบำบัดรักษายาเสพติดที่ประเทศสวีเดน พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิยูนิสเวดมาร่วมดำเนินการให้คำปรึกษาในการ บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด รูปแบบชุมชนบำบัด (Therapeutic Community, หรือTC)
คณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ได้กลับจากประเทศสวีเดนได้จัดตั้ง “ศูนย์ชุมชนบำบัดธัญญารักษ์” (Thanyarak Therapeutic Community Center) ขึ้นในบริเวณโรงพยาบาลธัญญารักษ์ โดยทำการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารสถานที่ และสามารถเริ่มเปิดชุมชนบำบัด เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2529

พ.ศ. 2529-2538


การดำเนินงานการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดขั้นฟื้นฟูสมรรถภาพรูปแบบชุมชน บำบัด ประสพผลดีพร้อมทั้งมีการพัฒนางานให้ก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ มีการพัฒนาให้เหมาะสมกับคนไทย ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ป่วยเฮโรอีนสามารถเลิกได้จำนวนมาก แม้จะใช้เวลานาน 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี ในการฟื้นฟู และได้มีการขยายงานด้านนี้ต่อไปอีก ในช่วงผู้อำนวยการนายแพทย์ธงชัย อุ่นเอกลาภ โดยจัดตั้งศูนย์ชุมชนบำบัดเช่นนี้ขึ้นอีก “ศูนย์ชุมชนบำบัดธัญญารักษ์ แห่งที่ 2 และ 3” เปิดดำเนินการ วันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2532 แต่ละศูนย์รับผู้ป่วยหรือสมาชิกได้ 50 เตียง และต่อมาในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2534 ได้ดำเนินการเปิดศูนย์ชุมชนบำบัดสำหรับผู้หญิงขึ้น สามารถรับสมาชิกหญิงได้ 35 เตียง และได้พยายามดำเนินการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบชุมชนบำบัดสำหรับผู้ป่วยนอกด้วย
พ.ศ. 2534 นอกจากหน้าที่ให้การบำบัดรักษาผู้ติดยาและสารเสพติดแล้ว โรงพยาบาลธัญญารักษ์ได้รับมอบหมายให้เป็นสถานที่ฝึกอบรมให้กับแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั่วประเทศ ในหลักวิชาการด้านยาเสพติด ได้เปิดอาคารถาวรตึกฝึกอบรม เป็นอาคาร 2 ชั้น
พ.ศ. 2535 โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ได้จัดส่งบุคลากรร่วมทีมงานจากหลายหน่วยงาน ในสังกัดกรมการแพทย์ และจากสถานพยาบาลยาเสพติดต่างๆในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมปฏิบัติงาน ในระยะเตรียมการก่อนรักษา และการบำบัดรักษาขั้นถอนพิษยา ให้กับชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ในเขตพื้นที่ทรงงานโครงการพัฒนาดอยตุง อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยมี ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เป็นกำลังสำคัญในพื้นที่ ส่วนการบำบัดรักษาขั้นฟื้นฟูสมรรถภาพ ได้เลือกใช้วิธีการรูปแบบชุมชนบำบัด โดยส่งบุคลากรจากโรงพยาบาลธัญญารักษ์ขึ้นไปช่วยดำเนินงานจนครบตามโครงการ 1,000 วัน ในการดำเนินการของโครงการนี้ ได้รับพระกรุณา จากพระราชดำรัสของสมเด็จย่า เป็นแนวทางของชาวธัญญารักษ์ ที่ทรงรับสั่งว่า “คน ที่ติดยาเขาเป็นคนหรือเปล่า ในเมื่อเขาเป็นคน เรามีการช่วยเหลือเขาได้ไหม ถ้าช่วยเหลือเขาได้ เท่ากับชุบชีวิตใหม่ให้เขา ... เราก็ควรทำ”
พ.ศ. 2535 เปิด “ศูนย์การศึกษาธัญญารักษ์” สอนวิชาสายสามัญและสายวิชาชีพ ให้กับผู้ป่วยในระยะ ฟื้นฟูสมรรถภาพ ได้รับการสนับสนุน หลักสูตรการศึกษาสายสามัญจากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จังหวัดปทุมธานี และได้รับการสนับสนุนอาจารย์ประสานงานประจำจาก กองการศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. 2537 เปิดดำเนินการอาคารถาวรของศูนย์ชุมชนบำบัดผู้ป่วยนอก “อาคารเฉลิมพระเกียรติ” สร้าง และบริจาค โดย ดร.มงคล และ ดร.วนิดา วัฒนเกียรติสรร บริษัท เมอร์รี่คิงส์ ดีพาร์ทเม้นต์สโตร์ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท
ปี พ.ศ. 2537 อธิบดีกรมการแพทย์ พลเรือตรีนายแพทย์วิฑุร แสงสิงแก้ว ได้สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างตึกอำนวยการหลังใหม่ เป็นอาคาร 5 ชั้น วงเงิน 187,600,502 บาท
ได้มีการปรับโครงสร้างหน่วยงานของกรมการแพทย์ ได้มอบหมายให้โรงพยาบาลธัญญารักษ์ รับโอนศูนย์บำบัดรักษาในส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ของกรมการแพทย์มาอยู่ในความดูแล ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2538 ตาม พระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมการแพทย์ ได้แก่ ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดภาคใต้ จังหวัดสงขลา ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดขอนแก่น ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดจังหวัดปัตตานี ศูนย์บำบัดรักษายาเสพติดจังหวัดแม่ฮ่องสอน

พ.ศ. 2539-2548


พ.ศ. 2541 ตึกอำนวยการ 5 ชั้น หลังใหม่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และได้เปิดดำเนินการ โดยได้ย้ายแผนกผู้ป่วยนอก รวมทั้งหน่วยอื่นๆ ทั้งหมด จากอาคารหลังเดิม
ประมาณปี พ.ศ. 2541 โรงพยาบาลได้เริ่มดำเนินการนำกระบวนการพัฒนาคุณภาพมาพัฒนา โดยมีเป้าหมายหลักก็คือ เพื่อพัฒนาคุณภาพการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดย ผู้อำนวยการ นาวาอากาศตรี นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ได้มีกิจกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพต่างๆ อาทิ จัดอบรม ESB (Excellent Service Behavior) อบรมกิจกรรม 5 ส. จัดสัมมนา OD (Organization Development) กิจกรรม CQI (Continual Quality Improvement) การดำเนินงานพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลอย่างจริงจัง ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2541 จนสามารถผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน HA โดย สถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาลประกาศให้โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ผ่านการรับรอ งคุณภาพตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2544
พ.ศ. 2543 ได้พัฒนาการบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยที่เสพติดเมทแอมเฟตามีนแบบผู้ป่วยนอก โดยการสนับสนุนของ NAS (Narcotic Affairs Section) สถานทูตสหรัฐอเมริกา ส่งเจ้าหน้าที่ไปอบรมที่ Matrix Institute, ลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ดำเนินการเปิดศูนย์แมทริกซ์ธัญญารักษ์ และเป็นต้นแบบ และพัฒนาให้คลินิกยาเสพติดทั่วประเทศ ศึกษา ฝึกอบรม และใช้รูปแบบ Mattrix Program ซึ่งเป็นการบำบัด โดยปัญญาพฤติกรรมบำบัด (Cognitive Behavior Therapy, CBT) เป็นรูปแบบสำคัญในการบำบัดผู้ป่วยยาเสพติด ของโรงพยาบาลทั่วประเทศ
พ.ศ. 2544 ได้มีการพัฒนา การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยใน จากรูปแบบเดิมให้เหมาะสมกับผู้ป่วยที่เสพติดเมทแอมเฟตามีนและอายุน้อย วัยรุ่น เป็นรูปแบบ “การบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพแบบเข้มข้นทางสายใหม่ (FAST Model)” ซึ่งได้ขยายและพัฒนาอบรม รูปแบบใหม่นี้แก่หน่วยงานของกองทัพ ดำเนินการในโรงเรียนวิวัฒน์พลเมืองและวัดที่เป็นศูนย์สงเคราะห์ให้ดำเนินการ ได้ไปทั่วประเทศ
การให้บริการข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ แก่ประชาชนเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ 2544 ได้เปิดบริการสายด่วนยาเสพติด 1165 ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด โดยทีมบุคลากร
พ.ศ. 2545 กรมการแพทย์ได้มีการปรับภารกิจ คือให้หน่วยงานเพิ่มภารกิจทางวิชาการมากกว่าภารกิจบริการ จึงได้มีกฤษฎีกาเปลี่ยนจากโรงพยาบาลธัญญารักษ์ เป็นสถาบันธัญญารักษ์ ในปัจจุบัน พ.ศ.2555 เปลี่ยนชื่อจากสถาบันธัญญารักษ์ เป็นสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี

พ.ศ. 2549-ปัจจุบัน


นอกจากการดำเนินงานด้านการบำบัดรักษาผู้ติดยาและสารเสพติดแล้ว สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนีได้มุ่งเน้นพัฒนางานด้านวิชาการ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์การเสพ ติด ศึกษาและพัฒนารูปแบบการบำบัดรักษา พัฒนาหลักเกณฑ์มาตรฐานการบำบัดรักษาและการประเมินเทคโนโลยี เพื่อถ่ายทอดความรู้เวชศาสตร์การเสพติด รูปแบบการบำบัดรักษา ให้คลินิก และสถานพยาบาลยาเสพติดทั่วประเทศ และในปี พ.ศ. 2549 นายแพทย์วิโรจน์ วีรชัย ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกผู้เชี่ยวชาญด้านยาเสพติดขององค์การอนามัยโลก (WHO Expert Advisory Panel on Drug Dependence) ซึ่งเป็นคนไทยคนที่สาม ที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิก
พ.ศ. 2551 ได้มีการพัฒนาและรับรองคุณภาพของสถานบำบัดรักษายาเสพติดทุกระบบทั้งสมัครใจ, บังคับบำบัดและต้องโทษให้ครอบคลุมทั่วประเทศ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี เป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ จัดทำ “ข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือด้านการพัฒนาและรับรองคุณภาพสถานบำบัด รักษายาเสพติดทุกระบบ โดยมีการลงนาม ระหว่างปลัดกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พรพ.) เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2551
พ.ศ. 2551 พัฒนาและอบรม หลักสูตร “พยาบาลเฉพาะทางสาขาการพยาบาลผู้ใช้ยาและสารเสพติด” เป็นหลักสูตร 4 เดือน เพื่อพัฒนาศักยภาพของพยาบาลวิชาชีพให้มีความสามารถปฏิบัติตาม การพยาบาลแบบองค์รวม เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันการใช้ยาและสารเสพติด ในเด็ก เยาวชนและบุคคลทั่วไป บำบัดรักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ที่มี ปัญหาด้านยาและสารเสพติด ได้ทำการปรับปรุงอาคารอำนวยการหลังเดิม และตั้งชื่ออาคารนี้ว่า “อาคารประยูร นรการผดุง” เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่นายแพทย์ประยูร นรการผดุง ผู้อำนวยการคนแรกของโรงพยาบาลธัญญารักษ์ และใช้เป็นสำนักงานของกลุ่มภารกิจภายนอกในการประสานงานนโยบายและยุทธศาสตร์ และการพัฒนาและรับรองคุณภาพสถานพยาบาลยาเสพติด พ.ศ. 2551 นายแพทย์วิโรจน์ วีรชัย ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ได้ให้ความสำคัญในการที่จะพัฒนารูปแบบการบำบัดรักษาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ปัญหาในยุคปัจจุบัน และเป็นประโยชน์ต่อการบำบัดรักษา ซึ่งที่ผ่านมาพบความแตกต่างระหว่างผู้ป่วยในแต่ละสารเสพติด โดยเฉพาะผู้ป่วยเสพติดสุรา และสารระเหยเรื้อรัง มีความผิดปกติทางระบบประสาทและสมอง (Cognitive Impairment) เนื่องจากการใช้ยาและสารเสพติด โดยผู้ป่วยเหล่านี้จะมีความยากลำบากในการฟื้นฟูสมรรถภาพ จึงได้มีการพัฒนาโปรแกรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ สำหรับผู้ป่วย Cognitive Impairment ขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยยาเสพติดประเภทสารกระตุ้นโดยเฉพาะเมทแอมเฟตามีนรูปยาไอซ์  ในปัจจุบันพบว่ามีอาการทางจิตเพิ่มขึ้น  จึงได้มีการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยเสพติดสารกระตุ้นที่มีอาการทางจิตเวช ในการป้องกันอาการทางจิตรักษาและให้ยารักษาต่อเนื่องไม่ให้เกิดอาการทางจิตอีก

พ.ศ. 2553 ได้จัดโครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ปปส.) และสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี โดยมีกิจกรรมทั้งด้านการศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการของประเทศ การจัดการฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรของศูนย์พื้นฟูจากราชอาณาจักรภูฎาน โดยการฝึกปฏิบัติหน้างานและการประชุมสรุปผลความร่วมมือ

พ.ศ. 2555 สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ได้รับพระราชทานนามใหม่จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อสถาบันแห่งนี้ว่า “สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี” เมื่อวันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555 ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุดแก่หน่วยงาน ได้แสดงถึงความชัดเจนในบทบาทภารกิจและยังเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระราชดำรัสขององค์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีที่ทรงมีเมตตาต่อคนติดยาเสพติด ตามที่รับสั่งว่า “คนติดยาเขาเป็นคนหรือเปล่า ในเมื่อเขาเป็นคน เรามีการช่วยเหลือเขาได้ไหม ถ้าช่วยได้ ก็เท่ากับชุบชีวิตใหม่ให้เขา เราก็ควรทำ” ถือเป็นปีแห่งจุดเริ่มของชื่อสถาบันใหม่ตามที่ได้รับพระราชทานนาม และถือเป็นสถาบันแห่งชาติด้านยาเสพติดแห่งเดียวของประเทศไทย โดยในส่วนที่ดูแลผู้ป่วยและศูนย์ยาเสพติดในส่วนภูมิภาค 6 แห่ง ได้เปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลธัญญารักษ์เชียงใหม่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์แม่ฮ่องสอน โรงพยาบาลธัญญารักษ์ขอนแก่น โรงพยาบาลธัญญารักษ์อุดรธานี โรงพยาบาลธัญญารักษ์สงขลา และโรงพยาบาลธัญญารักษ์ปัตตานี ในส่วนของภารกิจด้านการให้บริการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติดโดยตรงให้ใช้ชื่อว่า “โรงพยาบาลธัญญารักษ์” ต่อไป

พ.ศ. 2556 นโยบายกระทรวงสาธารณสุขได้มีการปฏิรูปและกำหนดแนวทางการพัฒนากระทรวงสาธารณสุข กำหนดบทบาทภารกิจของหน่วยงานให้มีความชัดเจน สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ได้แสดงบทบาทในฐานะเป็นองค์กรสุขภาพแห่งชาติ (National Health Authority) ด้านยาเสพติด ของประเทศ ได้มีการปรับโครงสร้างภายในของสถาบันให้มีหน่วยงานที่มารองรับภารกิจ NHA รวม 5 หน่วยงานคือ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักพัฒนาวิชาการ สำนักพัฒนาและรับรองคุณภาพสถานพยาบาล สำนักป้องกันและลดอันตรายจากยาเสพติด และสำนักสารนิเทศยาและสารเสพติด

พ.ศ. 2556 กระแสของประเทศให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และถือว่ายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของอาเซียนที่จะร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาในระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายให้อาเซียนปลอดยาเสพติดภายในปี 2558 หรือ “Drug Free ASAEN 2015” และในด้านการบำบัดรักษายาเสพติด สบยช.ถือเป็นหน่วยงานหลักของประเทศในการขับเคลื่อนความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ โดยเน้นความร่วมมือทางด้านวิชาการ และได้เริ่มจัดการประชุมวิชาการยาเสพติดระดับอาเซียน (ASEAN Conference)เป็นครั้งแรก ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี และได้มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบหลักในด้านความร่วมมือระหว่างประเทศโดยในระยะแรกให้รวมภารกิจอยู่ในสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ต่อมาภายหลังปรับภารกิจให้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักพัฒนาวิชาการ และปรับชื่อเป็นสำนักพัฒนาวิชาการและความร่วมมือระหว่างประเทศจนถึงปัจจุบัน

พ.ศ. 2557 ได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือของกรมการแพทย์ในฐานะตัวแทนประเทศด้านวิชาการบำบัดรักษายาเสพติด โดยจัดทำ Memorandum of Understanding (MOU) ซึ่งในปีนั้นมีตัวแทนประเทศต่าง ๆ ที่รับผิดชอบด้านการบำบัดรักษายาเสพติดร่วมลงนามทั้งหมด 8 ประเทศ คือ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน และในปี 2558 ประเทศสิงค์โปรได้ร่วมลงนามเพิ่ม และเป็นปีที่เริ่มมีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมโดย สบยช.ได้เดินทางไปศึกษาสภาพปัญหา ร่วมประชุมเพื่อพัฒนาศักยภาพการบำบัดรักษาระดับทวิภาคี ในประเทศ ลาว กัมพูชา พม่า มีการส่งบุคลากรไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างโอกาสความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย บรูไน มาเลเซีย ได้มีการจัดการอบรม Standard training course on drug abuse treatment และขยายความร่วมมือต่อเนื่องในระดับนานาชาตินอกอาเซียน โดยร่วมมือกับศูนย์นานาชาติเพื่อการรับรองมาตรฐานผู้บำบัดรักษายาเสพติด  (ICCE) แผนความร่วมมือโคลัมโบ จัดการประชุมนานาชาติของสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพการป้องกันและบำบัดรักษายาเสพติด (International Society for Substance Use Prevention and Treatment Professional หรือ ISSUP) ครั้งที่ ๑ จากสมาชิกมากกว่า ๖๐ ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการความร่วมมือเพื่อจัดการอบรมหลักสูตรการบำบัดรักษายาเสพติดแบบสากล (Universal Treatmenturriculum  for Substance Use Disorders : UTC)  ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ICCE กับสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ถือเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาวิชาการ สร้างผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดรักษายาเสพติด เทียบเท่าระดับสากล ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ สามารถนำความรู้และทักษะไปใช้ในการปฏิบัติงานด้านการดูแลบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเท่าเทียมกัน รวมทั้งมีแผนการพัฒนาความร่วมกันอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต

และเพื่อให้หน่วยงานมีการพัฒนาทางวิชาการในระดับแนวหน้าในอาเซียนและพัฒนาความเป็นเลิศในระดับนานาชาติ สบยช.ได้ส่งบุคลากรไปร่วมในการประชุมระดับนานาชาติ ได้แก่การประชุม ASOD (ASEAN Senior Officials on Drug Matters)  ประชุม CND (Commission on Narcotic Drugs) ที่เวียนนา ประเทศออสเตรียประชุม CPDD (The college on Problem of Drug dependence) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นยังส่งบุคลากรไปฝึกอบรมระยะสั้นด้านการบำบัดรักษาฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด ที่ Turning point และ WHOS (We Help Our Self) ประเทศออสเตรเลีย

พ.ศ. 2558 นโยบายกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความเข้มข้นกับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โดยให้มีการแบ่งเขตพื้นที่การบริหารจัดการออกเป็นเขตสุขภาพ 12 เขตและกรุงเทพมหานคร รวมทั้งได้กำหนดนโยบายยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โดยการตั้งคณะกรรมการแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพด้านยาเสพติด (Service Plan)  สบยช. มีบทบาทหน้าที่เป็นประธานร่วม และเป็นทีมเลขานุการร่วม ในคณะกรรมการ Service Plan ยาเสพติด แสดงบทบาทในฐานะหน่วยงานวิชาการในการขับเคลื่อนงานยาเสพติดของเขตสุขภาพ 12 เขตและพื้นที่กรุงเทพมหานคร มุ่งเน้นให้เขตสุขภาพมีความเข้มแข็ง ให้ผู้ป่วยยาเสพติดได้เข้าถึงบริการอย่างสะดวก ทั่วถึง เป็นธรรม และมีคุณภาพมาตรฐาน

ในทศวรรษนี้ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ได้ดำเนินการพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย พัฒนารูปแบบการบำบัดรักษาผู้ป่วยยาเสพติดที่มีประสิทธิภาพ ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วนในการดำเนินงานให้ทันกับสถานการณ์ยาเสพติด ได้มีกระบวนการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และพัฒนาขีดความสามารถในการให้บริการ ดูแลด้านบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยยาเสพติด เพื่อคืนคนดีสู่สังคม

ปัจจุบัน สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ตั้งอยู่เลขที่ 60 ถ.พหลโยธิน ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี มีเนื้อที่ทั้งหมด 210 ไร่ ให้บริการด้านวิชาการ ทั้งการวิจัย การประเมินเทคโนโลยี ถ่ายทอดความรู้ และพัฒนานโยบายด้านการบำบัดรักษายาเสพติด รวมทั้งเปิดให้การบำบัดรักษาผู้ติดยาและสารเสพติดทุกประเภท ในระดับตติยภูมิ ทั้งแบบผู้ป่วยนอกและแบบผู้ป่วยในบำบัดด้วยยา 210 เตียง ฟื้นฟูสมรรถภาพ 360 เตียง รวม 570 เตียง

แก้ไขล่าสุดเมื่อ ( Wednesday, 17 November 2021 )
ถัดไป >